Skip to content
Home » นำเข้าสินค้าส่งทาง DHL แล้วติดด่านศุลกากรทำอย่างไรดี

นำเข้าสินค้าส่งทาง DHL แล้วติดด่านศุลกากรทำอย่างไรดี

  • by

หลายคนที่ได้เคยนำเข้าสินค้ามาทาง DHL บางท่านก็พบว่าสินค้าไม่ติดด่านศุลกากร แต่บางครั้งก็ติดด่านศุลกากร ซึ่งสาเหตุนั้นก็เป็นเพราะว่าหากท่านนำสินค้าเข้าทาง DHL แล้วเป็นสินค้าปกติทั่วไปเช่น ราคาไม่ถึง 1,500 ก็จะได้รับการยกเว้นการเสียภาษีอากร ก็จะไม่ติดปัญหาเมื่อสินค้ามาถึงด่านศุลกากรสุวรรณภูมิและทาง DHL ก็จะสำแดงเป็นใบขนสินค้าขาเข้าเร่งด่วนรวมกันหลายๆ Shipment แต่หากท่านนำเข้าสินค้ามาทาง DHL แล้วเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเกิน 40,000 บาท หรือ เป็นของต้องห้ามต้องจำกัด เช่น ติดใบอนุญาต อย. ติดใบอนุญาตเกษตร ติดใบอนุญาต มอก. เป็นต้น ท่านจะต้องทำใบขนสินค้าแบบเต็ม (แบบ กศก. 99/1) โดยท่านจะต้องลงทะเบียน Paperless ผ่านระบบ Customs Trader Portal เพื่อให้สามารถส่งใบขนสินค้าเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรได้ เมื่อส่งใบขนสินค้าได้แล้วจะต้องดำเนินการตรวจปล่อยกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรเพื่อตรวจปล่อยสินค้าต่อไป

นำสินค้าเข้ามากับ DHL แล้วติดด่านศุลกากรให้หาสาเหตุก่อน

ผมแนะนำว่าหากนำสินค้าเข้ามาแล้วติดด่านศุลกากรให้หาสาเหตุกับ DHL ก่อนว่าติดปัญหาเรื่องอะไร เช่น หาก DHL จัดทำใบขนแล้วเจ้าหน้าที่เห็นว่าสินค้าสำแดงราคาต่ำเกินไป ให้คุณเตรียมหลักฐานการชำระเงินเพื่อให้ทาง DHL นำไปชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ก่อน หรือหากสินค้าติดใบอนุญาตก็ให้ขอใบอนุญาตให้ถูกต้อง เพราะหาก DHL ดำเนินการได้คุณจะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการใช้ชิปปิ้งอิสระมาดำเนินการออกของแทน DHL แต่หากเป็นกรณีที่ DHL ไม่สามารถเคลียร์ได้เพราะว่าไม่สามารถขอใบอนุญาตให้ถูกต้อง หรือต้องการปรึกษาเพื่อวางแผนค่าภาษีให้ถูกลง หรือต้องการให้ชิปปิ้งอิสระมาเคลียร์เพราะรู้ว่าสินค้ามาถึงสุวรรณภูมิแล้วติดแน่ๆ ให้รีบติดต่อชิปปิ้งมืออาชีพอย่างเร็วที่สุดเพื่อจะลดค่าใช้จ่ายอย่างเช่น ค่าโกดังที่เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน

ตัวอย่างค่าโกดังที่เกิดขึ้นกรณีลูกค้าของเรานำสินค้าเข้ามากับ DHL แล้วติดที่ด่านศุลกากรสุวรรณภูมิ เป็นเวลา เพียง 9 วัน

ลูกค้าของเราสั่งสินค้ามาทาง DHL ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2564 แต่ติดปัญหาบางประการจึงไม่สามารถเคลียร์สินค้าออกมาได้จึงติดต่อมายัง JP Cargo Service เพื่อให้ออกของให้ แต่เนื่องจากเคสนี้ลูกต้าติดต่อเรามาค่อนข้างช้าจึงทำให้ค่าโกดังมีราคาสูงดังภาพ

จากภาพจะมีค่าใช้จ่ายเรทเริ่มต้นอยู่แล้วคือประมาณ 1,027 บาท (รวม Vat)

  1. Delivery Order Fee คิดที่ 360 บาทต่อ 1 ชิปเมนท์
  2. Terminal Charge 525 บาทต่อ 1 ชิปเมนท์
  3. Cargo Permit Fee 140 บาทต่อ 1 ชิปเมนท์
  4. ค่าสำเนาเอกสาร 2 บาทต่อ 1 ชิปเมนท์

ค่าใช้จ่ายข้างต้นจะเป็นค่าใช้จ่ายเริ่มต้นหากท่านใช้ชิปปิ้งนอกออกของ ต่อมาจะเป็นค่าโกดังซึ่งจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใน 2 วันแรก จากตัวอย่างคือวันที่ 3-4 มิถุนายน จะไม่คิดค่าโกดัง จากนั้นตั้งแต่วันที่ 5 ถึงวันที่ 16 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่สามารถเคลียร์ของออกมาได้ นับเป็น 12 วัน คลังสินค้า จะคิดค่าโกดัง 425 บาทต่อวัน (ข้อมูลปี 64 สำหรับปี 65 คิดค่าโกดังวันละ 450 บาท) รวมค่าโกดังเป็น 12 x 425 = 5,100 บาท เมื่อนำเข้าไปรวมกับค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอีก 1,027 บาท จะรวมเป็นเงินถึง 6,127 บาท ซึ่งจะสูงมาก ซึ่งนอกจากค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำใบขนสินค้า ค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนตัวแทนออกของ (ประมาณ 425 บาท) ค่าบริการของชิปปิ้ง และที่สำคัญคือค่าภาษีอากรซึ่งจะคำนวนตามราคาและพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้านั้น ๆ อีกต่างหาก

นำสินค้าเข้ามาทาง DHL แล้วถ้าไม่สามารถเคลียร์สินค้าให้รีบติดต่อชิปปิ้งมืออาชีพด่วน

จากตัวอย่างของค่าใช้จ่ายข้างต้นจะลดลงถึง 5,100 ถ้าหากท่านสามารถเคลียร์และออกของได้ภายในวันที่ 3-4 มิถุนายน เพราะเป็นช่วงที่โกดังจะไม่คิดค่าโกดังใน 2 วันแรก ผมจึงอยากแนะนำให้ทุกคนรีบติดต่อชิปปิ้งมืออาชีพให้ไวที่สุดหากนำสินค้าเข้ามาทาง DHL แล้วติดอยู่ที่ด่านศุลกากรสุวรรณภูมิ

สรุป

ผมแนะนำว่าหากท่านนำสินค้ามากับ DHL ทางสนามบินสุวรรณภูมิแล้วติดปัญหาไม่สามารถเคลียร์สินค้าออกมาได้ ให้หาสาเหตุก่อนว่าติดปัญหาเรื่องอะไร หากสามารถชี้แจงหรือให้ทาง DHL ดำเนินการได้ก็ให้ทาง DHL ดำเนินการก่อน แต่หากเป็นสินค้าติดใบอนุญาตหรือเป็นเรื่องที่ทาง DHL ไม่สามารถเคลียร์สินค้าออกมาได้ หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับค่าภาษีต่าง ๆ ให้รีบติดต่อชิปปิ้งมืออาชีพเพื่อเข้าไปดำเนินการเคลียร์ของออกมาให้เร็วที่สุด เพื่อประหยัดค่าโกดังที่เพิ่มขึ้นถึงวันละ (450 บาท)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

en_USEN